5 – 4 ml) 3. ก่อนถ่ายเลือดใส่ขวดเปิดฝานอกของขวดทิ้ง เช็ดฝาใน (จุกยาง) ด้วย alcohol หรือ iodine ทิ้งไว้ให้แห้ง 4. ใช้วิธี aseptic technique เมื่อถ่ายเลือดลงขวด 5. เขียนชื่อ – นามสกุล H. N. อายุ หอผู้ป่วย ลำดับที่ของขวดและข้อมูลอื่นๆ ที่จำเป็นบนฉลากข้างขวด แต่ไม่ควรเขียนทับ Barcode หรือทำให้ Barcode ฉีกขาด 6. ควรเจาะเลือดก่อนให้ยาต้านจุลชีพ หรือเจาะก่อนให้ยาต้านจุลชีพครั้งต่อไป 7. เจาะเลือด 2 – 3 ครั้ง ห่างกันครั้งละ 1 ชั่วโมง ถ้าผู้ป่วยหนักที่ต้องให้ยาต้านจุลชีพด่วน อาจเจาะห่างกันในระยะเวลาที่น้อยลง 8. นำส่งทันทีหากไม่สามารถส่งได้ ให้วางที่อุณหภูมิห้องไม่เกิน 1 ชั่วโมง ห้ามเก็บในตู้เย็น เครื่อง incubator สำหรับเพาะเชื้อจากเลือดจะ detect ได้รวดเร็ว ถ้ามีเชื้อเจริญในขวดเพาะเชื้อ เมื่อย้อมสี gram stain แล้วรายงานผลทันทีผ่านระบบคอมพิวเตอร์จากนั้นจะทำการแยกพิสูจน์ชนิดและทดสอบความไวของเชื้อยาต่อไป กรณีไม่มีเชื้อรายงาน "No Growth after 3 day incubation" ขวดจะถูก incubate ต่อไป จนครบ 7 วัน ถ้าเชื้อเจริญขึ้นจะทำเช่นเดียวกับข้างต้น เมื่อครบ 7 วัน ไม่มีเชื้อขึ้นรายงาน "No Growth after 7 days incubation" 2.
การเก็บปัสสาวะ •ปฏิบัติตามขั้นตอนหัวข้อ 3 การเก็บสิ่งส่งตรวจแต่ละชนิด 2. การเก็บอุจจาระ 3. น้ำอสุจิ •แนะนำให้ผู้ป่วยเก็บและส่งตรวจทันที เพราะหากเก็บไว้นานผลอาจผิดพลาด ทางที่ดีควรเก็บที่โรงพยาบาลนำส่งทันทีและงดร่วมเพศประมาณ 2 – 3 วัน ก่อนเก็บน้ำอสุจิส่งตรวจ และ ระบุเวลา ที่เก็บทุกครั้ง ดังนี้ 1. งดยาทุกประเภทเป็นระยะ 7 วัน ก่อนการเก็บน้ำอสุจิ (Sperm) 2. งดร่วมเพศ 2-3 วัน ก่อนการเก็บน้ำอสุจิ (Sperm) 3. ทำการเก็บโดยวิธีให้ผู้ป่วยช่วยตัวเอง (ห้ามใช้ถุงยางอนามัยเก็บเพราะจะทำให้อสุจิตายได้หรือเคลื่อนไหวช้าลง 4. เก็บน้ำอสุจิ(Sperm)ใส่ขวดปากกว้าง ที่แห้ง สะอาด และมีฝาให้สนิท (ติดต่อขอรับได้ที่ห้องกลุ่มงานพยาธิวิทยาคลินิก) ให้ ระบุ รายละเอียดเหล่านี้ที่ข้างขวดให้ชัดเจน 1. ชื่อ – สกุล 2. H. N. 3. วัน และ เวลา 5. เก็บน้ำอสุจิ(Sperm)ให้หมดที่มีการหลั่งในครั้งนั้น(เพื่อให้สามารถวัดปริมาตรที่ได้อย่างถูกต้องและคำนวณหาจำนวนตัวอสุจิ(Sperm)ได้อย่างแม่นยำมากขึ้น)หากไม่สามารรถเก็บมาได้ทั้งหมดไม่ควรนำมาทดสอบในครั้งนั้น 6. ควรนำส่งห้องปฏิบัติการทันที เพื่อผู้ตรวจสามารถสังเกตลักษณะการละลายตัวของน้ำอสุจิ(Sperm)ได้ทัน (ระยะเวลาในการละลายตัวดังกล่าวเป็นข้อมูลที่ช่วยให้แพทย์สามารถตรวจวินิจฉัยได้อย่างถูกต้อแม่นยำ มากขึ้น) 7.
การติดป้ายชื่อผู้ป่วยบนหลอดเก็บเลือด ปิด sticker เป็นแนวตรง ไม่ม้วนเกลียวรอบหลอดเก็บเลือด เมื่อปิด sticker แล้วยังมองเห็นแถบสีที่บอกชนิดของหลอดเก็บเลือดและเว้นช่องว่างให้เห็นขีดบอกระดับเลือดที่ต้องเจาะ และระดับเลือดที่ใส่ลงมาในหลอด ถ้า sticker ยาวเกินหลอดเก็บเลือด ให้ตัดส่วนที่เกินออกได้ โดยให้เหลือส่วนที่เป็น HN. และ ชื่อ หรือจะพับ sticker ส่วนที่เกินเข้าหากันก็ได้ Test การทดสอบและการเลือกใช้หลอดเก็บเลิอด (ค้นหา Test ที่ต้องการ) ชนิดหลอดเก็บเลือดและลำดับการใส่หลอด Hemoculture Sodium citrate Clotted blood Lithium heparin EDTA NaF 1. ตรวจดูว่าป้ายชื่อผู้ป่วย ที่ติดที่ใบขอตรวจ และ หลอดเก็บเลือด ตรงกัน หรือไม่ 2. ถามชื่อและนามสกุลผู้ป่วยทุกครั้งเมื่อจะเจาะเลือด 3. ไม่ควรรัดแขนผู้ป่วยนานเกิน 1 นาที เนื่องจากอาจทำให้ค่าของการตรวจบางอย่างเปลี่ยนแปลงไป 4. ในกรณีที่มีการส่งเลือดหลายหลอด ลำดับในการใส่เลือดลงหลอด ให้ปฏิบัติดังนี้ ลำดับของหลอดเก็บเลือด จำนวนครั้งที่เขย่า ( mix) 1. tube hemoculture 3-5 ครั้ง 2. tube sodium citrate (จุกสีฟ้า) 3-4 ครั้ง 3. tube clotted blood (จุกสีแดง) 5 ครั้ง 4. tube lithium heparin (จุกสีเขียว) 8 ครั้ง 5. tube EDTA (จุกสีม่วง) 6. tube sodium fluoride (จุกสีเทา) 5.